การแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด

เปรียบเทียบการแปรสภาพ vs การเลิกกิจการแล้วเปิดเป็นบริษัทใหม่

  • บางคู่ค้าหรือสถาบันการเงินมีข้อกำหนดว่ากิจการที่จะทำธุรกรรมด้วยต้องดำเนินงานมาแล้วอย่างน้อยกี่ปี ดังนั้น การเลิกแล้วเปิดใหม่จะทำให้เสียประวัติการดำเนินงานของห้างเดิมไป
  • ค่าใช้จ่ายในการเลิกแล้วเปิดใหม่อาจสูงกว่าการแปรสภาพ เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเลิกและชำระบัญชีของห้างรอบหนึ่ง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปิดบริษัทอีกต่อหนึ่ง
  • การเลิกกิจการแล้วเปิดเป็นบริษัทใหม่ นายทะเบียนอาจไม่อนุญาตให้บริษัทที่เปิดใหม่ใช้ชื่อซ้ำกันกับชื่อห้างเดิม เพื่อป้องกันความสับสนว่าเป็นนิติบุคคลเดียวกัน

ข้อดี vs ข้อเสีย ของการแปรสภาพ

ข้อดี

  • เอื้อต่อการขยายกิจการในอนาคต
  • สามารถระดมทุนได้มากขึ้นผ่านการขายหุ้น
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำการค้ากับคู่ค้า
  • มีเครดิตดีกว่าเมื่อจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
  • สามารถแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดได้ในอนาคต

ข้อเสีย

  • ขั้นตอนยุ่งยาก
  • มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
  • ค่าใช้จ่ายต่างๆ อาจเพิ่มขึ้น เช่น ค่าสอบบัญชี (กรณีเดิมใช้ TA พอเปลี่ยนเป็นบริษัทต้องใช้ CPA)
  • ต้องแจ้งผู้เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขสัญญาการค้าใหม่
  • ถ้าห้างมีหุ้นส่วนไม่ถึง 3 คน ต้องทำเรื่องจดทะเบียนเพิ่มหุ้นส่วนก่อน

แปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด มีขั้นตอนดังนี้

  1. ห้างหุ้นส่วนที่มีหุ้นส่วน 3 คนขึ้นไปตกลงและทำหนังสือยินยอม
  2. แจ้งความยินยอมเป็นหนังสือต่อนายทะเบียนภายใน 14 วัน
  3. ลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องที่อย่างน้อย 1 คราว
  4. ทำหนังสือบอกกล่าวไปยังเจ้าหนี้ และแจ้งให้เจ้าหนี้ที่มีข้อคัดค้านส่งคำคัดค้านภายใน 30 วัน
  5. เรียกประชุมผู้เป็นหุ้นส่วนเพื่อให้ความยินยอมและดำเนินการต่อ เมื่อพ้นกำหนด 30 วัน
  6. จัดทำหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อบังคับของบริษัท กำหนดเรื่องหุ้น แต่งตั้งกรรมการบริษัทและผู้สอบบัญชี
  7. ส่งมอบกิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน เอกสาร บัญชี และหลักฐานต่างๆ ให้กรรมการบริษัทภายใน 14 วัน
  8. ผู้ถือหุ้นชำระเงินค่าหุ้น
  9. จัดเตรียมคำขอและเอกสารประกอบการแปรสภาพ
  10. กรรมการบริษัทยื่นคำขอจดทะเบียนแปรสภาพต่อนายทะเบียน ภายใน 14 วัน
  11. ชำระค่าธรรมเนียมการแปรสภาพ
  12. ได้รับหนังสือสำคัญการจดทะเบียนและหนังสือรับรองบริษัท